โครงการ プロジェクト

สิทธิป้องกันตนเองร่วมในการวางยุทธศาสตร์ความมั่นคงของญี่ปุ่น : กรณีศึกษาทศวรรษ 1990 และทศวรรษ 2010

31 สิงหาคม 2018 0 ความคิดเห็น 0 ผู้เข้าร่วม

งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งวิเคราะห์บทบาทของ “สิทธิการป้องกันตนเองร่วม” ในยุทธศาสตร์การรับประกันความมั่นคง และความอยู่รอด
ของญี่ปุ่น แม้นโยบายความมั่นคงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของญี่ปุ่นได้ลดทอนความสำคัญของหลักการนี้ในการดำเนิน
ยุทธศาสตร์มาตลอด ด้วยการปฏิเสธการยอมรับโดยมองว่าขัดกับรัฐธรรมนูญละเลิกสงคราม (มาตรา 9) แต่แนวคิด
“การป้องกันตนเองร่วม” ดำรงอยู่ในวาทกรรมว่าด้วยการจัดการความมั่นคงและการกระชับพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกามา
โดยตลอด นอกเหนือจากการดำรงอยู่ในรูปแนวคิดที่ถูกปฏิเสธแล้ว หลายครั้งเมื่อเกิดสถานการณ์อันนำไปสู่การทบทวน
แนวการดำเนินนโยบายการทูตและความมั่นคงแบบขนานใหญ่ เช่นการเปลี่ยนสถานะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
หรือการเปลี่ยนผ่านของระเบียบโลกสู่ยุคหลังสงครามเย็น ข้อถกเถียงว่าด้วยการยอมรับหรือไม่ยอมรับสิทธิการป้องกันตนเองร่วม
มักเข้ามามีบทบาทในการปรับทิศทางนโยบายเพื่อรับมือสภาวการณ์ระหว่างประเทศใหม่เสมอจนกระทั่งในปัจจุบัน เมื่อไม่นาน
มานี้แนวคิดการป้องกันตนเองร่วมเริ่มมีตำแหน่งแห่งที่ที่เปลี่ยนไปในยุทธศาสตร์ความมั่นคงจากการตีความรัฐธรรมนูญของรัฐบาล
ชินโซ อาเบะ หันมาให้การยอมรับสิทธินี้นำไปสู่การเปลี่ยนจุดยืนและนโยบายครั้งใหญ่

งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งตอบคำถามหลักที่ว่าหลัก “การป้องกันตนเองร่วม” มีนัยสำคัญอย่างไรต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงของญี่ปุ่นในฐานะ
เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ แนวคิดนี้มีบทบาทหน้าที่และการทำงานเปลี่ยนไปอย่างไรในแต่ละยุคสมัย ด้วยบริบทและเงื่อนไขอย่างไร
ในเบื้องต้นงานวิจัยนี้มุ่งวิเคราะห์ 2 ช่วงเวลาสำคัญที่ญี่ปุ่นปรับท่าทีด้านการต่างประเทศและมีการหยิบยกหลัก “การป้องกันตนเองร่วม”
ขึ้นเป็นประเด็นถกเถียงทางการเมืองอย่างเด่นชัด ได้แก่ทศวรรษที่ 1980-1990 อันเป็นช่วงการปรับนโยบายให้สอดรับกับสถานะของ
ญี่ปุ่นที่กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจตลอดจนการสิ้นสุดของสงครามเย็น และทศวรรษที่ 2010 ช่วงการเผชิญการเปลี่ยนโครงสร้าง
อำนาจในเอเชียและการรับมือกับภัยคุกคามใหม่

Login