ญี่ปุ่นมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญด้านนโยบายพลังงานหลังจากเตาปฏิกรณ์เชิงพาณิชย์เตาสุดท้ายหยุดดำเนินการเมื่อคืนวันที่ 5 พฤษภาคม  รัฐบาลกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่่นอาจขาดแคลนพลังงานในฤดูร้อนที่จะถึงนี้ โดยขณะนี้รัฐบาลกำลังพยายามจะให้มีการเปิดใช้งานเตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 และ 4 ของโรงงานพลังงานิวเคลียร์โออิ จังหวัดฟุคุอิ แต่จะยกเลิกการพึ่งพิงพลังงานนิวเคลียร์ในแผนการระยะยาว

อย่างไรก็ดี รัฐบาลยังไม่ได้ตัดสินใจว่านโยบายพลังงานของประเทศในอนาคตจะเป็นอย่างไร เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าญี่ปุ่นจะเดินตามรอยนโยบายพลังงานของประเทศเยอรมันหรือไม่ และจะหาแหล่งพลังงานทดแทนที่จะมาใช้แทนพลังงานนิวเคลียร์อย่างไร

คณะกรรมการนโยบายพื้นฐานของคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาด้านทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและพลังงานได้พิจารณาทบทวนนโยบายพลังงานของญี่ปุ่นมาตั้งแต่เดือนเมษายน และมีความเห็นขัดแย้งกันเกี่ยวกับอัตราพลังงานนิวเคลียร์ต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดในปี 2030 โดยมีการเสนออัตราส่วนการใช้พลังงานนิวเคลียร์ตั้งแต่ 0-35%

อย่างไรก็ดี มีผู้คัดค้านว่าการใช้พลังงานนิวเคลียร์ถึง 35% ขัดต่อนโยบายยกเลิกการพึ่งพิงพลังงานนิวเคลียร์ของรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นตัวเลขที่สูงกว่า 26% ตามแผนการในปีงบประมาณปี 2010 ก่อนเกิดอุบัติเหตุนิวเคลียร์ที่จังหวัดฟุคุชิมะ  ส่วนกรรมการที่มาจากภาคธุรกิจแสดงความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนพลังงานและสนับสนุนให้เปิดใช้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่ต้องได้รับการยืนยันความปลอดภัยเสียก่อน และให้อัตราการใช้พลังงานนิวเคลียร์อยู่ที่ราว 20% เหมือนในปัจจุบัน

ด้านอายุการใช้งานเตาปฏิกรณ์ ร่างกฏหมายใหม่เสนอให้เตาปฏิกรณ์มีอายุใช้งาน 40 ปี แต่ขออนุญาตต่ออายุได้ไม่เกิน 1 ครั้ง  หากได้รับการต่ออายุเป็นกรณีพิเศษ เตาปฏิกรณ์อาจใช้งานได้อีก 20 ปี  หน่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานกล่าวว่าถ้าเตาปฏิกรณ์มีอายุใช้งาน 40 ปี อัตราส่วนการใช้พลังงานนิวเคลียร์จะลดเหลือ 13-15% ภายในปี 2030  แต่ถ้าเตาปฏิกรณ์มีอายุใช้งาน 60 ปี อัตราส่วนการใช้พลังงานนิวเคลียร์จะขยับมาอยู่ที่ 28-32%

เครดิตข่าว  http://mainichi.jp/english/english/newsselect/news/20120507p2a00m0na014000c.html

เครดิตภาพ http://s0.geograph.org.uk/photos/99/93/999365_5dab8362.jpg