แนวปฏิบัติตามข้อตกลงว่าด้วยการประมงระหว่างญี่ปุ่นและไต้หวัน

ญี่ปุ่นและไต้หวันได้ลงนามข้อตกลงว่าด้วยการประมง (fisheries agreement) เมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2013 เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขข้อพิพาทบริเวณหมู่เกาะเซนกากุระหว่างสองประเทศ
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การกำหนดข้อตกลงอย่างเป็นทางการนี้ขึ้นเนื่องจาก (1) ประธานาธิบดีของไต้หวัน นาย หม่า อิงจิว เป็นผู้ริเริ่มข้อเสนอสันติภาพในทะเลจีนตะวันออก (2) ญี่ปุ่นตัดสินใจที่จะวางตัวเองอยู่ระหว่างไต้หวันและจีน เพื่อเป็นการป้องการไม่ให้ทั้งสองประเทศร่วมมือกันต่อต้านผลประโยชน์ของญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับอิทธิพลจากสหรัฐอเมริกาที่ต้องการให้มีการดำเนินการเพื่อแก้ไขในประเด็นดังกล่าวโดยเฉพาะเรื่องการทำประมง ข้อตกลงนี้จึงเป็นพัฒนาการก้าวสำคัญระหว่างสองประเทศอย่างไรก็ตามประเด็นความขัดแย้งที่แท้จริงยังคงดำรงอยู่
ประธานาธิบดีหม่าประกาศการริเริ่มเจรจาสันติภาพเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2012 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามยกระดับความขัดแย้งเรื่องหมู่เกาะสู่ข้อตกลงซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับทะเลจีนตะวันออก (code of conduct for the East China Sea) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดสันติภาพและการพัฒนาการใช้ทรัพยากรร่วมกัน และในวันที่ 7 กันยายน ประธานาธิบดีหม่าได้เสนอแนวทางการปฏิบัติเพื่อริเริ่มการเจรจาทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีเพื่อสร้างความร่วมมือในอุตสาหกรรมการประมง
อย่างไรก็ตาม ในเดือนกันยายน 2012 รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจใช้แนวทางชาตินิยมต่อประเด็นข้อพิพาทกรณีหมู่เกาะเซนกากุส่งผลให้เกิดภาวะความตึงเครียดระหว่างสองประเทศอีกครั้ง แต่การแสดงเจตนาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่น นายโคอิชิโร่ ที่ตระหนักในความรู้สึกของคนไต้หวันส่งผลให้มีการนำประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวกลับสู่การเจรจาโดยให้ความสำคัญกับสันติภาพและการพัฒนาด้านทรัพยากรร่วมกัน แม้ว่าจะมีกระแสการต่อต้านภายในประเทศโดยเฉพาะจากกลุ่มชาวประมงในจังหวัดโอกินาวาก็ตาม
แม้จะมีการอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะเซนกากุและอาณาบริเวณโดยรอบของทั้งสองประเทศ แต่ในความเป็นจริงพบว่า ไต้หวันไม่เคยมีประวัติการบริหารเกาะเซนกากุมาก่อนเลย ซึ่งในการกำหนดข้อตกลงร่วมกันนี้ประธานาธิบดีหม่า ได้เสนอเนื้อหาสำหรับข้อตกลงดังกล่าวว่า ข้อตกลงนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในทะเลจีนตะวันออก ส่งเสริมมิตรภาพและความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ทั้งยังรักษาระบบที่จะสงวนและสร้างการใช้ทรัพยากรทางทะเลในพื้นที่เศรษฐกิจอย่างมีเหตุผล นอกจากนี้ข้อตกลงดังกล่าวระบุให้ไต้หวันและญี่ปุ่นสามารถทำการประมงในพื้นที่ความร่วมมือพิเศษ (special cooperative zone) ได้อย่างเสรี
แม้ว่าข้อตกลงระหว่างสองประเทศจะมีความสำคัญมาก โดยผู้เขียนบทความ (นาย Kawashima Shin) เห็นว่า
(1) ข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอันจะเป็นแบบอย่างสู่การสร้างสันติภาพและกติกาสำหรับพื้นที่พิพาทอื่นๆ ในทะเลเอเชียตะวันออกที่กำลังมีความขัดแย้ง (2) เป็นการป้องกันความร่วมมือระหว่างจีนและไต้หวันซึ่งอาจจะกระทบกับสถานการณ์ความมั่นคงของญี่ปุ่นโดยเฉพาะในกรณีข้อพิพาทบริเวณหมู่เกาะริวกิว ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของจังหวัดโอกินาว่า (3) ระหว่างที่จีนอ้างว่าหมู่เกาะเซนกากุเป็นส่วนหนึ่งของไต้หวันนั้น ญี่ปุ่นและไต้หวันก็มีการสรุปถึงข้อตกลงเกี่ยวกับอาณาเขตน่านน้ำทางทะเลแล้ว จึงเป็นการปฏิเสธการคำกล่าวอ้างดังกล่าวของจีนด้วยเช่นกัน
จากสถานการณ์ดังกล่าว ผู้เขียนบทความวิเคราะห์ว่า (1) ข้อตกลงนี้จึงเป็นการชะลอการพิจารณาถึงคำถามเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยออกไปก่อน (2) ประเด็นที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันคือ ทำอย่างไรให้ชาวประมงในท้องถิ่นของญี่ปุ่นและไต้หวันสามารถทำประมงได้ตามปกติ (3) ทำอย่างไรให้คณะกรรมการการประมงญี่ปุ่น- ไต้หวัน (Japan-Taiwan Fishery Committee) สามารถทำหน้าที่ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับคณะกรรมการการประมงญี่ปุ่น- เกาหลีที่ลงนามข้อตกลงในปี 1998 และ (4) การยืนยันในผลประโยชน์ของจีนดังที่อ้างว่าหมู่เกาะเซนกากุเป็นส่วนหนึ่งของไต้หวันนั้นทำให้เราต้องตระหนักว่าข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นกับไต้หวันย่อมมีความเกี่ยวข้องกับจีนอย่างแน่นอน ซึ่งต้องมีการประเมินว่าจีนจะมีปฏิกิริยาอย่างไรและเป็นไปได้ว่าไต้หวันเองก็พยายามทำข้อตกลงร่วมกันกับจีนในกรณีทะเลจีนตะวันออกด้วยเช่นกัน
----------------------------
Writer: Kawashima Shin
Originally written in Japanese on May 1, 2013. Title photograph: Taiwanese fishing boats bound for the Senkaku Islands from the port of Su-ao in Yilan County, Taiwan, September 24, 2012. Photo courtesy AP/Aflo.
The english version was published on June 5, 2013.
Source: http://www.nippon.com/en/currents/d00081/
